วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ประวัติความเป็นมา

 ประวัติความเป็นมา :

ตำบลจรเข้สามพัน เป็นตำบลที่อยู่ในเขตการปกครองของ อ.อู่ทอง ซึ่งประกอบด้วย 14 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ 1 บ้านหนองบัว, หมู่ที่ 2 บ้านวังหลุมพอง, หมู่ที่ 3 บ้านรางโพธิ์, หมู่ที่ 4 บ้านจรเข้สามพัน, หมู่ที่ 5 บ้านจรเข้สามพัน, หมู่ที่ 6 บ้านจรเข้สามพัน, หมู่ที่ 7 บ้านหนองบอน, หมู่ที่ 8 บ้านเขาชานหมาก, หมู่ที่ 9 บ้านรางโพธิ์, หมู่ที่ 10 บ้านทุ่งยายพัก, หมู่ที่ 11 บ้านเขาวงศ์พาทย์, หมู่ที่ 12 บ้านโพธิ์ทอง, หมู่ที่ 13 บ้านวังทอง, หมู่ที่ 14 บ้านเนินสมบัติ, หมู่ที่ 15 บ้านวังขอน

สภาพทั่วไปของตำบล :

ตำบลจรเข้สามพันตั้งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอำเภออู่ทอง ห่างจากอำเภอไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 324 ระยะทาง 8 กิโลเมตร มีเนื้อที่ 37,540 ไร่ พื้นที่การเกษตร 30,000 ไร่
 อาณาเขตตำบล :
ทิศเหนือ ติดกับ อบต.อู่ทอง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี
ทิศใต้ ติดกับ เทศบาลต.รางหวาย อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี
ทิศตะวันออก ติดกับ อบต.ยุ้งทะลาย อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี
ทิศตะวันตก ติดกับ อบต.หนองประดู่ อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี
จำนวนประชากรของตำบล :
จำนวนประชากรในเขต อบต. 12,974 คน และจำนวนหลังคาเรือน 3,648 หลังคาเรือน
 ข้อมูลอาชีพของตำบล :
อาชีพหลัก ทำนา ทำสวน ทำไร่
อาชีพเสริม ทอผ้า แปรรูปผลผลิตทางการเกษตร
 ข้อมูลสถานที่สำคัญของตำบล
: 1. วัดเขาถ้ำเสือ
2. วัดเทพคีรีวงศ์ (เทพคีรีวงศาราม)
3. วัดปทุมวนาราม
4. วัดโพธาราม
5. วัดโพธิ์เงิน
      ริมฝั่งแม่น้ำจรเข้สามพัน                 

        แผนที่แสดงลำน้ำจรเข้สามพันในเขตตำบลจรเข้สามพัน   อำเภออู่ทอง
        โบราณวัตถุชิ้นหนึ่งที่พบในหมู่บ้านจระเข้สามพัน  อำเภออู่ทอง  จังหวัดสุพรรณบุรี
ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำสายประวัติศาสตร์แห่งนี้มาเป็นเวลานานนั้นอาจเป็นที่มาของนามสกุลดั้งเดิมในชุมชนแห่งนี้ก็เป็นได้
                
                           รูปด้านหน้า “เหรา”
        นั่นคือรูปแกะสลักหินหยกสีเขียวใสผิวมันมีความยาวประมาณ 22 ซม. สูง 8 ซม. น้ำหนักประมาณ 1 – 2 กก.  เป็นรูปสัตว์ 2 หัวเช่นเดียวกับเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ลิง – ลิง – โอ ยุคก่อนประวัติศาสตร์   แต่รูปแกะสลักชิ้นนี้อยู่ในยุคทวารวดีอายุประมาณพันกว่าปี หัวด้านหนึ่งคล้ายหัวจระเข้ อีกด้านหนึ่งเป็นหัวพญานาค  มีปีกคล้ายปีกแมงดาทะเล  มีขา 2 ขา   บริเวณผิวมีริ้วรอยเป็นจุด ๆ เนื่องจากถูกฝังอยู่ใต้ดินมาเป็นเวลานาน  ลักษณะของดวงตาทั้งสองด้านเป็นปมสูงถลนเพ่งมองอย่างระแวดระวัง  โดยแบ่งหน้าที่กันมองดังนี้ จระเข้มองด้านล่าง ส่วนพญานาคมองด้านบน  สำหรับปีกนั้นคงหนีไม่พ้นมีไว้สำหรับบิน  ส่วนจะบินหนีหรือบินจู่โจมนั้นก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้น
                  
                                  หางเป็นหัวพญานาค
      จากคำบอกเล่าของชาวบ้าน   ผู้ครอบครองวัตถุชิ้นนี้ในยุคแรก ๆ ได้นำมากราบไหว้บูชาเป็นวัตถุมงคลประจำบ้าน  เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความเชื่อที่สืบทอดกันมาแต่โบราณว่าเป็นสัตว์หิมพานต์ชนิดหนึ่งตรงกับคำว่า “เหรา”(อ่านว่าเห-รา)ซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์เดช เหาะเหิน เดินอากาศ ดำน้ำได้เพราะมีส่วนผสมระหว่างสัตว์ 3 ชนิด คือ จระเข้ พญานาค และแมงดาทะเล ตามประวัติกล่าวไว้ว่า เหราเป็นสัตว์ที่มีหน้าที่ดูแลรักษาสถานที่สำคัญต่าง ๆ เช่น โบสถ์ วิหาร ป้อมปราการ เจดีย์หรือพระธาตุ เป็นต้น      
                                                 
               
                         รอยเจาะรูบริเวณด้านหลัง
     สัตว์มงคล “เหรา” คงเป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้านจระเข้สามพันมาเป็นเวลานานตั้งแต่คนไทยยังไม่มีนามสกุล   ครั้นเมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 6 ได้ตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้นในปี พ.ศ. 2455 ขณะนั้นหมู่บ้านจรเข้สามพันได้ยกฐานะเป็นอำเภอจระเข้สามพันมาแล้วประมาณ 10 ปี   โดยแยกจากอำเภอสองพี่น้อง
     หัวหน้าผู้เป็นต้นตระกูลจึงได้นำคำว่า “เหรา” มาตั้งเป็นนามสกุลโดยเติมคำว่า “ศรี” เข้าไปข้างหน้า แปลว่า ความเป็นสิริมงคลหรือความร่มเย็นเป็นสุขด้วยอำนาจบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีนามว่า “เหรา”
             
         ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่า “ศรีเหรา” เป็นนามสกุลดั้งเดิมของคนจระเข้สามพันมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม ก่อนจะแตกสาขาออกเป็นนามสกุลอื่น ๆ ในเวลาต่อมา   ส่วนรูปแกะสลักเหราปัจจุบันอยู่ในการดูแลของคนในตระกูล “ศรีเหรา” ณ พื้นที่แห่งบ้านจรเข้สามพัน
       
       
                        วิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ริมฝั่งน้ำจรเข้สามพัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น